RAW ICELAND : Summer journey to the land of never ending daylight

 

หากพูดถึงไอซ์แลนด์ เรานึกถึงอะไร ????

แน่นอนอันดับแรกคงหนีไม่พ้น “แสงเหนือหรือออโรร่า”

นอกจากแสงเหนือ อีกหนึ่งจุดขายที่โด่งดังนั่นคงหนีไม่พ้น น้ำตกนั่นเอง ประเทศแห่งนี้มีน้ำตกมากมาย หรือจะให้หยาบหน่อยก็ โครตเยอะ เลยก็ว่าได้ ภาพยนต์หลายๆเรื่อง เช่น Prometeus หรือ Secret life of Walter Mitty ก็ใช้เป็นฉากในการถ่ายทำ ผมก็คนนึงที่ได้มีโอกาสตามความฝันไปยังสถานที่แห่งนี้ครับ

แต่ไม่ได้เห็นแสงเหนือ….

ไม่ใช่เพราะฟ้าปิดหรืออะไรนะครับ

แต่เพราะว่าผมเลือกไปในฤดูที่ไม่เห็นแสงเหนือครับ

ผมไปฤดูร้อน… คือช่วงประมาณเดือน มิ.ย. – ก.ค. ครับ

แล้วไอ้ฤดูร้อนในไอซ์แลนด์เนี่ย ฟ้ามันจะสว่างตลอด 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว แสงเหนือเลยไม่มีโอกาสโผล่ออกมาให้เห็น (จริงๆแสงเหนือมันมีทั้งปีแหล่ะครับ แต่เรามองไม่เห็นเอง)

วันนี้ผมจะพาท่านไปชมไอซ์แลนด์ในอีกมุมนึง ที่ไม่มีแสงเหนือกัน

ทริปนี้ตลอดทริปผมใช้กล้อง Nikon D4 และ D7000 พร้อมเลนส์ Nikkor 16 mm. fisheye, 16-35 f4, 24-70 f2.8, 70-200 f2.8

ภาพทั้งหมดผ่านการ post process โดยใช้โปรแกรม Adobe Lightroom และ Photoshop ครับ


      กลุ่มผมออกเดินทางจากสนามบิน Chale de Gulle ฝรั่งเศษ ตอน 3 ทุ่มเศษ ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงสนามบิน Keflavik Airport เวลาประมาณตี 1 ลงเครื่องเสร็จ เดินผ่านเกต ก็ออกจากสนามบินได้เลย ไม่ต้องผ่าน ตม. เนื่องจากเป็นประเทศในกลุ่มเชงเก้น ชีวิตเลยง่ายขึ้นเยอะ

      จัดแจงเรื่องรถเช่าเสร็จเรียบร้อย ก็ตั้ง GPS ไปยังเมือง Grundarfjörður. กันเลย จุดหมายคือภูเขา Kirkjufell ตามรูปด้านบนนั่นแหล่ะ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะข้าเมือง Rekjavik เมืองหลวงของไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นทางผ่านอยู่แล้ว เนื่องต้องแวะไปรับอุปกรณ์ต่างๆ ทั้ง pocket wifi และ power inverter ที่ได้จองไว้ผ่านเว็บมาล่วงหน้าครับ

ปล : รถเช่าผมใช้รถ SUV เนื่องจากในแผนการเดินทางของผมจะต้องมีการขับรถเข้า highland ซึ่งเป็นถนนลูกรังและมีการขึ้นเขาลงห้วยด้วย
ถนนปกติเป็นถนนลาดยางนะคับ ถ้าไม่คิดจะขับเข้า highland ใช้รถยนต์ปกติก็ได้ แต่ผมแนะนำให้จอง SUV แบบ 4WD  เพราะไฮไลท์มันอยู่ที่แถวๆ highland นะ จะบอกให้

สำหรับเว็บจองรถ หาในอากู๋เลยคับ ผมใช้คีย์เวิร์ดว่า “Iceland car rental” มีเพียบ เลือกบริษัท รุ่น ขนาด ได้ตามใจชอบ

 

        เว็บที่ผมใช้จองอุปกรณ์ต่างๆ คือเว็บนี้ครับ  http://www.iceland-camping-equipment.com/collections/all  หรืออาจจะใช้อากู๋ช่วย ใช้คีย์เวิร์ดว่า ” Iceland camping rental ” มีให้เลือกเพียบคับ

      ในการจองก็ให้บอกเวลารับของเค้าไป เค้าก็จะให้พิกัดร้านมา เวลาจะไปรับเราก็ใส่ที่อยู่ใน GPS ได้เลย และเนื่องจากเวลาที่พวกผมไปถึง มันเป็นเวลาราวๆตีหนึ่งกว่าๆ แม้ฟ้าจะสว่างโร่แบบเวลากลางวันก็จริง แต่มันคือเวลานอนของคนที่นี่เค้าครับ หรือพูดง่ายๆคือ ร้านเค้าปิดแล้ว  แต่ทางร้านเค้าจะโน๊ตมาในอีเมล์ว่าหากมาในเวลาที่ร้านปิด เค้าจะเตรียมของไว้ให้ โดยเค้าจะเตรียมกุญแจไว้ให้ โดยใส่ไว้ในล๊อกเกอร์หน้าร้านที่ลูกล็อคโดยรหัส (ร้านเค้าจะบอกรหัสให้เราในอีเมล์ครับ)

      หลังจากได้กุญแจ เราก็ไขเข้าไปเอาของด้านในซึ่งจะถูกเก็บไว้ในตู้ที่ถูกระบุ แล้วเวลาออกมาก็หยอดกุญแจไว้ในล๊อกเกอร์ตามเดิม (ประตูร้านมันจะล็อคอัตโนมัติ)

 

      จาก Rekjavik ไปถึง Grundarfjörður ใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมงครับ ขับเรื่อยๆชิวๆ เนื่องจากประเทศนี้จำกัดความเร็วไว้ที่ไม่เกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปบ้างตามรายทาง ไม่ต้องรีบเร่งเรื่องเวลา แถมถนนก็โล่งเพราะเค้านอนกันหมด ฮาาา

      ถึงจุดหมายราวๆตี 5 ไม่เข้าที่พัก เพราะเค้ายังไม่เปิดให้เช็คอิน ฮาาาา ตรงไปยัง ภูเขา Kirkjufell กันทันที

      ทริปแบบนี้สำหรับพวกผมแล้ว ส่ิงที่จำเป็นและขาดไม่ได้คือ GPS และ Pocket wifi หรือ Internet sim ครับ เนื่องจากว่าในการเดินทางบางครั้งเราอาจจะหลงทางหรืออยากจะค้นหาจุดหมายใหม่ๆ ก็สามารถค้นผ่านเน็ตหรือ Google map ได้ทันที และยังเป็นเนวิเกเตอร์ได้ด้วย รวมทั้งการตรวจสอบสภาพอากาศ ณ จุดหมายที่จะเดินทางก็เป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากหากพบว่าสภาพอากาศไม่ดี ฝนตก หิมะตก จะได้เปลี่ยนแผนได้อย่างทันที

 

      Kirkjufell mountain ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของไอซ์แลนด์ที่นักท่องเที่ยวต้องแวะชมเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นภูเขาที่สวยงาม เดินทางไปได้ง่ายเพราะอยู่ติดถนนหลักเลย

      จุดถ่ายรูปแถวภูเขา Kirkjufell ก็มีหลากหลายมุมครับ ทั้งมุมยอดนิยมคือมุมต่ำที่เห็นน้ำตก หรือถ้าใครขยันหน่อยก็สามารถเดินขึ้นภูเขาด้านหลังไปเก็บภาพมุมสูงก็ยังได้

      กลุ่มผมไปทั้งสองมุมเลยครับ…

      กดรูปกันอย่างเมามันตามอัธยาศัย เพราะฟ้าเป็นใจด้วย ตอนราวๆ 8 โมงเช้า เริ่มหิว เลยขับรถเข้าไปในตัวเมือง ซึ่งห่างจากจุดถ่ายรูปประมาณ 2 km หาอะไรกินเสร็จสรรพ เริ่มง่วง เพราะไม่ได้นอนกันมากว่า 30 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องที่ฝรั่งเศษเลยขับรถไปที่โรงแรม เพื่อที่จะขอเข้าเช็คอินก่อน

เจ้าหน้าที่บอกไม่ได้ เพราะคนอื่นเค้ายังไม่เช็คเอาท์กันเลย ให้มาตอนบ่าย 2

เงิบ…..

เอาไงดีวะ ง่วงก็ง่วง

ตอนแรกคุยกับเพื่อนๆว่าจะนอนในรถรอ แต่ดันเหลือบไปเห็น information center ประจำเมือง เนียนเข้าไปขอข้อมูล และซื้อน้ำซื้อขนมกินกันนิดหน่อย จากนั้นก็ยึดโซฟาที่เค้าจัดให้เป็นสถานที่นอนของพวกเรากันเลย ปลั๊กไฟ ห้องน้ำ ร้านอาหาร พร้อมสรรพ อยู่ในนั้น นอนอย่างเดียวไม่พอ ชาร์จแบตโทรศัพท์กันด้วย ฮาาาา

ยังไม่พอ

เอากาต้มน้ำมาต้มมาม่าที่เตรียมมาจากเมืองไทยพร้อม เยี่ยมมาก  นอนพักผ่อน กินมาม่า ชาร์จแบต กันจนบ่ายสอง ถึงจรลีไปเช็คอินที่โรงแรม เข้านอนพักผ่อนกันให้หายเหนื่อย ตั้งแต่บ่ายสอง ตื่นกันห้าทุ่ม ก็ออกมาที่ภูเขาลูกนี้กันอีกรอบ

      เล่าแผนเดินทางคร่าวๆของเราหน่อยละกัน

      ทริปนี้ไปกัน 4 คน 15 วันครับ ลักษณะของทริปเป็นทริปท่องเที่ยวแหล่ะครับ แต่ไม่เน้นกิน ไม่เน้นความสะดวกสะบาย เน้นถ่ายรูปเป็นหลัก อาหารก็มีมาม่าที่เตรียมมาจากประเทศไทยเป็นหลัก เสริมด้วยแซนวิช แฮมเบอร์เกอร์ตามปั๊ม เรื่องที่นอนก็เน้นให้ใกล้กับจุดถ่ายภาพเป็นหลัก และบางทีก็นอนในรถ หรือไม่ก็เตนท์ ซึ่งเตรียมมาจากไทยด้วยครับ

      ส่วนแผนการท่องเที่ยว ก็คือ ออกกลางคืนนอนกลางวันครับ เนื่องฤดูร้อนของไอซ์แลนด์จะไม่มีช่วงกลางคืนเลย จะสว่างตลอด 24 ชั่วโมง ช่วงที่ผมไปพระอาทิตย์ตกเที่ยงคืน และขึ้น ตีสอง และช่วงที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็คือช่วง twilight นั่นเอง

      นี่ก็คือที่มาที่ไปของการออกกลางคืนนอนกลางวันนั่นเองครับ การจัดตารางเวลาก็อาจจะงงๆหน่อย เพราะ เราจะนอนราวๆ บ่ายสอง ถึง หนึ่งทุ่ม นอกนั้นก็คือออกตะลอนคับ

 

      ระหว่างทางก็สวยงามครับ มีม้ามีแกะให้ถ่ายเยอะแยะเลย แถมม้าไอซ์แลนด์ใหญ่ เอ๊ย หล่ออย่าบอกใครเลย

      ประเทศไอซ์แลนด์มีลักษณะเป็นเกาะ เพราะฉะนั้นการเดินทางท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ก็จะมีลักษณะขับรถวนรอบเกาะ งงมั๊ย

      ก็คือขับรถวนให้ครบรอบแหล่ะ จะวนทวนเข็มหรือตามเข็มก็ได้ ตามใจ พวกผมเลือกแบบตามเข็มนาฬิกาโดยวางแผนที่พักตามเมืองใหญ่ๆ และใช้เป็น Hub เพื่อออกตะลอนครับ เริ่มต้นจาก สนามบิน – Kirkjufell – West fjord – Akureyri – Hofn – Vik – Rejavik – สนามบิน

 

      อยู่ Kirkjufell กัน 2 คืน หลังจากนั้นก็ออกเดินทางไปยัง West fjord

      West fjord ก็คือดินแดนทางฝั่งตะวันตกเฉียงไปทางเหนือๆของไอซ์แลนด์ที่มีลักษณะเป็นฟยอร์ดหรือชายฝั่งทะเลซึ่งถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนเว้าแหว่งมีลักษณะแคบและยาว ขับรถผ่านไปมันเหมือนกันรถขึ้นลงเขาตลอดเวลา ลัดเลาะทะเลและของเหวด้วย สวยแปลกตาดีครับ

      West fjord ของไอซ์แลนด์ที่พวกเราไปกันสามารถเดินทางไปกันสามารถเดินทางได้ 2 แบบ คือ ขับรถไป หรือไม่ก็ขึ้นเรือเฟอรี่ไปเราเลือกออปชั่นที่สอง คือขึ้นเรือเฟอรี่ไป เนื่องจากหากขับรถไปมันจะอ้อมมาก และเสียเวลามากด้วย…

      การเดินทางไปยัง Westfjord โดยเรือเฟอรี่นั้นสามารถจองได้ผ่านเว็บ http://www.seatours.is โดยให้ขับรถมาขึ้นเรือที่ท่าเรือในเมือง STYKKISHÓLMUR ซึ่งอยู่ห่างจาก Kirkjufell หรือเมือง Grundarfjörður ประมาณ 40 km เท่านั้น

      ผมจองตั๋วผ่านเว็บครับ โดยเลือกปลายทางที่ BRJÁNSLÆKUR สนนราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ ผู้ใหญ่ก็คนละ 5250 โครน หรือราวๆพันกว่าบาท รถหนึ่งคันก็ 5250 โครน เหมือนกัน

 

      West fjord ของไอซ์แลนด์จะมีชื่อเสียงในด้านนก Puffin ตามรูปด้านบนเลยครับ

      Puffin เป็นนกที่มีสีสันตรงปากที่สวยงามและหายาก พบเพียงไม่กี่ประเทศในโลกครับ ใครเป็นสายถ่ายนกนี่ผมว่าต้องชอบแน่นอนครับ

 

      หลังจากเรือเฟอรี่เทียบท่าที่ท่าเรือ BRJÁNSLÆKUR หากต้องการไปชมพันฟินเลย ก็ให้ตั้ง GPS ไปที่ Breiðavík ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ปลายยอดทางซ้ายสุดของไอซ์แลนด์ แล้วขับรถไปสุดถนน ก็จะเจอกัน Puffin Colony ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของนกฟัฟฟิน

 

      นกฟัฟฟินจะอยู่กันตามขอบเหวครับ อยู่กันเต็มเลย รังของนกเหล่านี้ก็จะอยู่ในรู และจะสามารถพบได้ในฤดูร้อนเท่านั้นนะครับ ถ้าไปฤดูอื่นจะไม่พบ เพราะมันจะออกไปหากินกันที่อื่น ฉะนั้นถ้าใครอยากเห็นนกพัฟฟินต้องมาฤดูร้อนเท่านั้น

 

      จริงๆแล้วพัฟฟินไม่ได้อยู่แค่ West fjord เท่านั้น ที่อื่นๆ เช่น แถว Rejavik ก็สามารถเห็นได้เหมือนกัน แต่ต้องซื้อทัวร์แล้วลงเรือไปชม แถมเห็นไกลๆอีกต่างหาก แต่หากมาที่ West fjord นี่ แทบจะอุ้มกลับบ้านกันได้เลย

      มันไม่กลัวคนครับ เดินผ่านหน้าในระยะไม่ถึงเมตรเลย แต่ถ้าจะก้มไปลูบมันจะหนีนะครับ อย่าไปวิ่งไล่นะครับ มันผิดกฏ แถมอันตรายด้วย

 

      ข้อควรระวังในการมาชมพัฟฟินที่นี่คือ จุดที่ชมมันจะเป็นเหวลึก ไม่มีจุดก้ันด้วย เพราะฉะนั้นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูงในการชมเลย เค้าจะมีการตีเส้นไว้ เพื่อไม่ให้เราล้ำเข้าไป เพราะหากเกิดอันตรายจะไม่มีใครรับผิดชอบได้เลย

 

      ก่อนที่ผมจะไปชมพัฟฟิน จริงๆผมไปแวะน้ำตกนึงก่อนด้วย ชื่อ Dynjandi waterfall เป็นน้ำตกหลายชั้นที่สูงประมาณ 100 เมตร และเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในแถบ West fjord ด้วย

 

      ในรูปนี่ราวๆตีสามนะครับ สังเกตุดูว่าฟ้าสว่างโร่เลย เดินขึ้นไปกันจนถึงชั้นบนสุดเลย เทียบสเกลดู ใหญ่บิ๊กเบิ้มเลย

      หลังจากเสร็จจากน้ำตก Dynjandi เราก็ขับรถออกเพื่อไปยังแคมป์ไซต์ครับ โดยวางแผนไว้ว่าจะนอนเตนท์ ไปถึงจุดกางเตนท์ปรากฏว่าฝนตก ก็ช่วยกันกางเตนท์เลย หนาวมากๆ กางเตนท์เสร็จเข้านอน ลมก็แรง ตีเตนท์แทบปลิวเลย นอนไปได้ซักสองชั่วโมง ก็นอนกันไม่ได้ เพราะหนาวมากๆ ลมก็ดีเตนท์เสียงดังสนั่นเลย

      สรุป หนีเข้าไปนอนในรถกันหมด ฮาาาาา

      ข้อตีของแคมป์ไซต์คือ จะมีห้องน้ำให้เข้าฟรี พอพวกผมตื่นนอนก็อาศัยห้องน้ำอาบน้ำ และแวะเข้าไปร้านอาหารข้างๆแคมป์ไซต์หาอะไรกิน แถมเนียนหาที่ชาร์จไฟแบตกล้อง มือถือกันด้วย

       ออกจาก Dynjandi ก็แวะไปชมพัฟฟินตามที่ได้ชมรูปกันไปแล้ว หลังจากนั้นเราก็ไปขึ้นเรือเฟอรี่กลับครับ เรากลับไปเมือง Grundarfjörður กันอีกรอบ เพราะตามแผนเราจะเทรกกัน แต่ไม่ลงรูปนะครับ เพราะรูป Kirkjufell ผมลงกันตอนแรกหมดแล้ว ข้ามไปเลย

       ออกจาก Grundarfjörður ก็ตั้ง GPS ไปที่เมือง Akureyri ระยะทางประมาณ 400 km ซึ่งเป็นระยะการขับรถที่ไกลที่สุดในทริปละ เพราะปกติจะวางแผนขับรถไว้ไม่เกิน 250 km ต่อวัน ก็ขับกินลมชมวิวไปเรื่อยๆครับ ไม่รีบ แวะปั๊ม แวะถ่ายรูปกันตลอดทาง ใช้เวลาเกือบ 6 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมายแรกหลังจากมาถึงเมืองนี้ก็ น้ำตก Godafoss ตามรูปด้านบนนั่นเอง

 

      น้ำตก Godafoss เป็นนำ้ตกที่มีชื่อเสียง เป็นหนึ่งในจุดหมายที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเดินไปเยี่ยมชม เพราะเดินทางไปง่ายเนื่องจากอยู่ริมถนนเลย แค่ตั้ง GPS พิมพ์ว่า Godafoss ก็เจอแล้ว

 

      แถมใกล้ๆกับน้ำตกเลยมีปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ของฝากอยู่ด้วย สะดวกสบายเป็นที่สุด ผมจอดรถนอนในรถกันข้างร้านของฝากกันครับ ตื่นมาก็ต้มน้ำกันกินแฟแล้วเตรียมตัวออกเดินทางต่อ

      กาแฟนี่ผมเตรียมเป็นกาแฟสำเร็จมาจากเมืองไทยนะครับ หัวเตาแก๊สก็เตรียมมาจากไทย แล้วหาซื้อถังแก๊สเล็กๆราคาไม่แพงซึ่งมีขายตามปั๊มน้ำมัน ไว้ต้มกาแฟ ต้มมาม่ากินกัน

 

      ออกจาก Godafoss จุดหมายต่อไปคือ Aldeyjarfoss ระหว่างเดินทางฟ้าปิดสนิท ตอนขับรถเข้าไปก็ยังคุยกันเล่นๆเลยว่าเดี๋ยวจะผ่านประตูมิติเข้าไปเจอฟ้าระเบิดเลย

      ตอนใกล้ๆถึงก็ขับฝ่าหมอกที่ลงจัดมากๆ และพอขับทะลุหมอกฟ้าเปิด ฟ้าระเบิดจริงๆด้วย กระดี้กระด้ากันใหญ่ จอดรถเสร็จก็รีบเตรียมของแล้วออกเดินไปยังจุดหมายกันเลย เดินตามป้ายกันไปประมาณ 30 นาที

ไหนวะน้ำตก หาไม่เจอ

มองเห็นลิบๆเหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่ มันคล้ายๆ

เปิด google map เช็คดู ปรากฏว่าขับรถเข้ามาผิดฝั่ง จุดถ่ายรูปมันอยู่อีกฝั่งนึง เดินฟรี แถมต้องขับรถย้อนกลับเข้าไปอีกด้าน

สรุปคือ ไปถึง ฟ้าปิด เฟลกันไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่ารีบ ให้เช็คแผนที่ให้ดีๆก่อน เดี๋ยวจะเฟล

 

 

      ออกจาก Aldeyjarfoss จุดหมายต่อไปคือ น้ำตก Dettifoss น้ำตกที่มีปริมาณน้ำที่มากที่สุดในไอซ์แลนด์ แถมยังเป็นฉากที่ไว้ถ่ายทำหนังเรื่อง Prometeus ด้วย

สถานที่ท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ส่วนมากจะออกแนวธรรมชาติยังไงยังงั้นเลย รั้วกั้นก็ไม่มี ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังตัวอย่างมากในการเที่ยว แถมช่วงที่ผมเข้าไป ฝนตก ยิ่งลื่นยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ เลยถ่ายรูปมาได้นิดเดียว เพราะทั้งเปียก ทั้งอันตราย

 กลับเข้ามานอนในรถดีกว่า ฮาาาาา

รูปที่เห็นราวๆตีสองครับ ตื่นขึ้นมาก็ตั้งเกาแต๊ส

เตาแก๊ส !!!

ต้มมาม่าต้มกาแฟกินกัน น้ำที่ชงก็เป็นน้ำขวดที่ซื้อตามปั๊มแหล่ะครับ แต่ทีนี้เรื่องของเรื่องคือ น้ำที่ขายตามปั๊ม มันจะมีน้ำธรรมดา กับน้ำโซดา แถมเป็นภาษาไอซ์แลนด์ด้วย อ่านไม่ออก

กาแฟมื้อนั้นเลยกลายเป็นกาแฟโซดาไปโดยปริยาย -*-

ยังไม่พอ

ยังลืมเตาแก๊สไว้ที่นู่นอีก -*-

แล้วจะเอาอะไรกินมาม่ากับข้าวแฟ่ละเนี่ย ฮ่วย !!!:(

      ออกจาก Dettifoss ก็แวะถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เข้าที่พัก จุดหมายต่อไปคือ Hengifoss น้ำตกที่สูงที่สุดในไอซ์แลนด์ครับ สูงประมาณ 128 เมตร (ตามรูปด้านบนเลย) น้ำตกนี้ต้องเทรกกันเล็กน้อยนะครับ ใช้เวลาเดินทางไป-กลับประมาณ 2 ชั่วโมง ไปถึงก็ไม่ค่อยได้ภาพหรอกครับ เพราะฟ้าปิด

      อย่างที่ผมบอกว่าการท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เพราะมันอันตรายจริง

      รูปด้านบนเป็นน้ำตกข้างทางครับ ไม่มีชื่อด้วย ผมเกือบบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่นี่ เนื่องจากพลัดตกจากโขดหินลงไปยังพื้นข้างล่างที่อยู่ต่ำลงไปประมาณ 5 เมตร โชคดีที่ตัวไปไปติดอยู่กับเนินดินที่ต่ำลงไปประมาณหนึ่งเมตร จึงรอดตัวจากการเจ็บหนักมาได้…

 

      จุดหมายถัดไปคือเมือง Hofn ซึ่งเราอยุ่กัน 3 วัน และใช้เมืองนี้เป็นฐานที่ตั้งไปยังสถานที่ถ่ายรูปจุดอื่นๆ เมือง Hofn อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ  Hofn เป็นเมืองใหญ่ โรงแรมที่เราพักก็มีห้องครัวให้ด้วย สบายเลย

       จุดขายนึงของเมืองนี้ก็คือภูเขา Vestrahorn นั่นเอง

 

วิธีการเดินทางจากเมือง Hofn มายังจุดนี้ ให้ตั้ง GPS มาที่ Klifatindur แล้วขับมาให้สุดทางก็จะเจอ

 

      แต่เนื่องจากจุดที่เราถ่ายรูปเป็นสถานที่ส่วนบุคคล ต้องจ่ายค่าเข้าคนละ 2 ยูโร แต่พอดีผมไปช่วงกลางคืนเลยไม่มีคนมาเก็บตังค์ แต่พอกลับมาอีกรอบตอนเช้า ก็โดนอยู่ดี ฮาาาา

 

      อีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงย่านนี้ที่นักท่องเที่ยวต่างรู้จักกันดีก็คือ Jokusarlon glacier lagoon ซึ่งเป็นจุดที่น้ำแข็งจำนวนมากที่ละลายจากกลาเซียร์จะไหลลงทะเล

 

      และนำ้แข็งเหล่านี้ก็จะมากระจุกตัวกันอย่างมากมาย ก่อนจะลงทะเล นักท่องเที่ยวก็เลยนิยมมาเที่ยวกันเยอะ

 

 

      การเดินทางก็ง่ายดายแค่ตั้ง GPS ไปที่ Jokusalon เท่านั้น แถมเดินทางสะดวกสบาย เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ริมถนนใหญ่ จอดรถก็เห็นเลย

 

      รูปด้านบนคือ Vatnajokull glacier ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ เห็นได้จากถนนใหญ่เลยครับ เนื่องจากไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก และถนนสายหลักก็มีเพียงสายเดียว ทำให้การเดินทางไม่ยุ่งยากซับซ้อนแบบเมืองใหญ่ต่างๆในยุโรป

 

      ทุ่งดอกลูปินระหว่างทางก็มีให้เห็นทั่วไปในหน้าร้อน แต่ไม่มีสีสันหลากหลายแบบนิวซีแลนด์นะครับ แต่โดยรวมแล้วก็สวยดี

 

      หลังจากออกจาก Hofn จุดหมายต่อไปคือเมือง Vik ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะ ระหว่างทางก็แวะ Svartifoss ซึ่งอยู่ระหว่างทางด้วย  วิธีเดินทางไปน้ำตกนี้ก็ง่ายๆ แค่ตั้ง GPS ไปที่ Svartifoss หรือน้ำตกดำ ที่สวยแปลกตา

 

      น้ำตกนี้ไม่ได้อยู่ข้างทางนะครับ ต้องเดินเข้าไปประมาณ 45 นาทีทางเดินไม่ลำบากครับ เดินเรื่อยๆก็ถึง

 

      Vik เป็เมืองใหญ่ทางใต้ของเกาะ และมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะแยะเลย แต่ช่วงที่ผมไปฝนตกสามวันติด นอนติดกันอยู่ที่โรงแรมกันราว 52 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว เพราะเอาแต่กินๆนอนๆ โครตจะเบื่อ ทุกคนจึงลงความเห็นกันว่า ออกไปถ่ายรูปเหอะ ฝนตกก็ถ่ายมันทั้งตกๆนี่แหล่ะ

 

      จุดหมายที่จะไปคือ Seljarlandfoss ขับออกมาจาก Vik ได้ราวๆ 15 km ฟ้าเปิด

      มันคืออัลรัย >< !!!!

      รู้งี้ออกมาตั้งนานแบ๊วววววว T____T

 

      ด้วยความอัดอั้นที่ไม่ได้ถ่ายรูปมากว่า 52 ชั่วโมง เลยกดกันรัวๆเลย

 

       Seljarlandfoss เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงอีกหนึ่งแห่งครับ อยู่ติดถนน เดินทางสะดวก แค่ตั้ง GPS ไปที่ Seljarlandfoss ก็เจอได้เลย

 

      เสร็จจาก Seljarlandfoss เราเดินทางต่อไปยัง Skofafoss ทันที Skofafoss ก็เป็นอีกหนึ่งน้ำตกที่มีชื่อเสียง อยู่ติดถนน เดินทางสะดวก อยู่ไม่ห่างจาก Seljarlandfoss เลย แค่ราวๆ 27 km เท่านั้น

      และจุดหมายถัดไปของเราคือ Landmannalaugar ซึ่งสำหรับผมถือว่าคือไฮท์ไลท์ของทริปนี้เลยก็ว่าได้

      Landmannalauga ตั้งอยู่ในเขต Fjallabak Nature Reserve เป็นแถบภูเขาไฟยังไม่ดับสนิทดี มีลักษณะของพื้นที่ที่สวยงามแปลกเลยครับ

      Landmannalaugar สามารถเดินทางเข้าไปได้เฉพาะฤดูร้อนเท่านั้น เพราะถ้าเป็นฤดูกาลอื่นถนนจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ทำให้ไม่สามารถเดินทางเข้าไปได้

 

      การเดินทางไป Landmannalaugar หากเราตั้ง GPS ไป จะสามารถเข้าได้ 2 ทางคือ ถนนเส้น F208 และ F225 ซึ่งทั้งสองทางจะสามารถเข้าถึง Landmannalaugar ได้เหมือนกัน แต่เส้น F225 ทางจะค่อนข้างดีกว่า

แน่นอน พวกผมเลือกเส้น F208 ในการขับเข้าไป

ข้ามแม่น้ำเกือบสิบเส้น

ด้วยความไม่รู้ T___T

 

      และสำหรับรถที่ใช้สำหรับการขับรถเข้า Landmannalaugar ต้องเป็น SUV แบบ 4WD เท่านั้นนะครับ เนื่องจากว่าทางเป็นถนนลูกรัง แคบ ตลอดทาง แถมจะต้องมีการขับข้ามแม่น้ำสายเล็กๆด้วย หากขับรถเก๋งหรือรถที่ไม่ใช้ 4WD เข้าไปอาจเกิดอันตรายได้นะครับ

 

      และสำหรับที่พักเมื่อเข้าไปถึง จะมีที่พักให้ แต่ราคาแพงมากๆครับ ข้อมูลการจองห้องพักและการเดินทางสามารถดูได้จากเว็บ

 

      แต่ทางอุทยานก็จะมีพื้นที่จัดไว้ให้สำหรับกางเตนท์ด้วย

      แน่นอนผมเลือกตัวเลือกทีสอง

      แต่จากประสบการณ์กางเตนท์นอนที่ West fjord ทำให้เราเลือกที่จะนอนบนรถกันแทน หนาวทรมานจับใจ -*- ผมอยู่ที่นี่สองวันหนึ่งคืน จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะอยู่แค่หนึ่งวันเท่านั้น เพราะจะไปเทรกกิ้งที่ Porsmork กัน แต่หลังจากได้ลองเทรกกิ้งเส้นสั้นๆ แล้ว เราเลยตัดสินใจยกเลิกแผนการไป Porsmork ทันที เพื่อที่จะอยู่ที่นี่ต่ออีกวัน

 

      ซึ่ง Landmannalaugar ก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆครับ สวยงามมากๆ แม้สภาพอากาศจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยในวันที่สองเราเลือกเทรกกิ้งเส้นทางที่ค่อนข้างยาก ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง ซึ่งคุ้มค่าจริงกับประสบการณ์ที่ได้รับ

 

      ลองเทียบสเกลของคนในภาพดูครับ ว่าพวกเราเทรกขึ้นมาสูงขนาดไหน เส้นทางก็แปลกตา ทั้งผ่านภูเขาสีสันแปลกๆ ผ่านพื้นที่ที่เคยปกคลุมไปด้วยลาวาที่เย็นตัวแล้ว บ่อน้ำพุร้อน แถมยังได้เล่นสไลเดอร์หิมะลงภูเขาอีกต่างหาก (อัดวีดีโอไว้ ผมโพสไว้ท้ายกระทู้ครับ)

      จุดเริ่มต้นที่เราเทรกกันมีก็คือบริเวณที่พักและที่ทำการของอุทยานจุดเล็กๆนั่นแหล่ะครับ คิดดูว่าขึ้นมาสูงขนาดไหน ถามว่าอันตรายมั๊ย ?  ดูเหมือนจะอันตราย แต่จริงๆแล้วไม่ค่อยอันตราย มันดูเหมือนขึ้นมาสูงก็จริง แต่ไหล่ภูเขา ทางเดินต่างๆค่อนข้างกว้าง

      สำหรับผม Landmannalaugar นี่คือเหตุผลที่จะทำให้ผมมาเที่ยวไอซ์แลนด์อีกรอบ

 

      ออกจาก Landmannalaugar เราก็เดินทางต่อไปยัง Gullfoss ครับ และหลังจากนั้นก็ขับรถเข้า Rekjavik เพื่อเตรียมเดินทางกลับฝรั่งเศษและกลับไทยต่อไป


ปิดท้ายด้วยวีดีโอสไลเดอร์หิมะลงจากภูเขาที่  Landmanalaugar ครับ

 

       สำหรับผม ทริปไอซ์แลนด์ครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่สุดๆครั้งหนึ่งในชีวิตเลยครับ เที่ยวกลางคืน นอนกลางวัน นอนในรถ นอนเตนท์ หนาวแทบตาย กินมาม่าเป็นอาหารหลัก

      สำหรับผมมีกลับไปซ้ำแน่นอนครับ อาจจะไม่ใช่เร็วๆนี้ แต่ต้องมีซ้ำแน่นอน ขอบคุณที่รับชมกันจนจบครับ ติชมได้ตามสบาย หรือหากอยากสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวต่างๆ สามารถสอบถามได้เลยนะครับยินดีให้ความช่วยเหลือเต็มที่เท่าที่ครับ

     หากมีโอกาสจะทยอยมาเล่าเรื่องจากทริปดองเค็มทริปอื่นๆนะครับ

      ขอบคุณที่รับชมครับ -/\-


 

0 responses on "RAW ICELAND : Summer journey to the land of never ending daylight"

Leave a Message

Your email address will not be published.

top
Copyright © 2021 PhotoHackz